ย้อนรอยคดีในตำนาน “เตือนใจ พวงนาค” (คดีแรกในประเทศไทย)

เตือนใจ

เรื่องราวนักศึกษาสาวคนหนึ่งที่ชื่อ “เตือนใจ พวงนาค” นักศึกษาสาวคนนี้ได้ถูกจิ๊กโก๋กลุ่มหนึ่งฉุดไปข่มขืนแล้วซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นคือโดนปล้นฆ่าชิงทรัพย์อย่างทารุณ บริเวณซอยที่อยู่อาศัยของเธอเอง โดยคนร้ายได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นรอยฟันที่น่าจะถูกจากการโดนกัดที่ร่างกายของเธอ และซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นคือไม่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดว่าคนร้ายเป็นใคร มาจากไหน ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญและสร้างความหวาดกลัวให้กับหญิงสาวในยุคนั้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่านักศึกษาสาวทั่วประเทศที่ต้องเดินทางกลับบ้านเพียงคนเดียว และคดีนี้เป็นคดีฆ่าข่มขืนเป็นคดีแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในยุคนั้นเป็นอย่างมากที่ต้องตามจับตัวฆาตกรมารับโทษให้ได้โดยเร็ว เพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น มันเกิดอะไรขึ้นเธอเธอ ทำไมชีวิตของ “เตือนใจ พวงนาค” ต้องมาพบกับจุดจบแบบนี้ ทั้งที่เธอเป็นคนที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใสรอเธออยู่แท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าในซอยสุขุมวิท 101 ที่เต็มไปด้วยความเจริญในช่วงเวลานั้นจะเคยมีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเกิดขึ้นมาก่อน และกลายมาเป็นคดีฆ่าข่มขืนคดีแรกในประเทศไทย เรื่องราวของ “นางสาวเตือนใจ พวงนาค” ต้องย้อนกลับไปเมื่อปีพุทธศักราช 2504 “เตือนใจ พวงนาค” เป็นเด็กสาวมหาวิทยาลัยครูสวนสุนันทา หรือ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาในปัจจุบัน เธอมีบ้านพักอยู่ในซอยปุณณวิถี หรือซอยสุขุมวิท 101 ในปัจจุบัน ซึ่งพ่อแม่ของเตือนใจเปิดร้านขายของอยู่ในซอยแห่งนั้น ซึ่งเป็นซอยลึกและเปลี่ยวมาก เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นหญ้าปลกคลุม ลักษณะของบ้านเรือนยังไม่หนาแน่นเท่าทุกวันนี้ เป็นที่รับรู้ของคนในซอยเป็นอย่างดีกว่า “เตือนใจ พวงนาค” เธอเป็นนักศึกษาสาวที่น่ารักสดใส บ่อยครั้งที่เธอมักจะถูกแซวจากบรรดาหนุ่มๆ ในซอย จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งรถสาธารณะกลับบ้านตามปกติหลังจากเลิกเรียนจากมหาลัย ขณะที่อยู่บนรถสาธารณะเกิดเผลอซุ่มซ่ามไปเหยียบเท้านักเรียนนายร้อยคนหนึ่งเข้า ทำให้ทั้งสองคนได้ทำความรู้จักกันและสนิทสนมกันมากขึ้นในเวลาต่อมา หนุ่มนักเรียนนายร้อยที่เตือนใจได้พบในวันนั้นเขามีชื่อว่า “นักเรียนเตรียมทหาร วีรเดช สุวรรณลักษณ์” ถือว่าเป็นนักเรียนหนุ่มหน้าตาดีเลยทีเดียว หลังจากทั้งคู่ได้ติดต่อกันระยะหนึ่งทั้งสองจึงเริ่มมีใจให้กัน และตกลงเป็นแฟนกันในที่สุด ซึ่งนางสาวเตือนใจมีเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยอยู่ด้วยกัน 4 คน โดยพวกเธอมีชื่อว่า แป๋ว เปิ้ล หมิง และตุ๋ย ซึ่งทั้งหมดสนิทสนมกันอย่างมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา เพราะบ้านของเพื่อนทุกคนอยู่ในซอยเดียวกันทั้งหมด หลังจากนางสาวเตือนใจ ได้คบกับนักเรียนเตรียมทหารวีรเดชทั้งคู่ก็ไปมาหาสู่กันตลอดเรื่อยมา ซึ่งนางสาวเตือนใจได้แนะนำนักเรียนเตรียมทหารวีรเดชให้เพื่อนสนิททั้ง 4 ของตนรู้จัก หลังจากนักเรียนเตรียมทหารวีรเดชได้รู้จักกับเพื่อนสนิทของนางสาวเตือนใจทุกคน นักเรียนเตรียมทหารวีรเดชจึงนำเรื่องราวดังกล่าวมาเล่าให้กับเพื่อนชายที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจฟัง โดยเขาบอกว่า เพื่อนๆ ของเตือนใจทั้ง 4 คนสวยมาก และทุกคนก็ยังไม่มีแฟนอีกด้วย ทำให้เพื่อนของนักเรียนเตรียมทหารวีรเดชเกิดความสนใจเพื่อนทั้ง 4 ของเตือนใจ ในที่สุดทั้งหมดก็ได้ตกลงนัดเจอกัน และได้ไปเที่ยวทะเลที่พัทยาด้วยกัน ทำให้ทุกคนสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าชีวิตของหนุ่มสาววัยเรียนกำลังจะไปได้สวย และไม่มีวี่แววว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ กับพวกเขาแม้แต่น้อย ขากลับจากเที่ยวพัทยากลุ่มนักเรียนนายร้อยแสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดนการมาส่งนางสาวเตือนใจกับเพื่อนๆ ทั้ง 4 ถึงหน้าบ้านทุกคน แต่ระหว่างที่หนุ่มนายร้อยมาส่งเพื่อนสาวในซอยหนึ่งได้เกิดมีเรื่องกับจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นประจำซอย คำด่าทอโต้ตอบกันไปมาของทั้งสองฝ่าย จนเกือบทำให้มีเรื่องชกต่อยกัน แต่กลุ่มสาวๆ เข้ามาห้ามไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่ เพราะพวกเธอไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องกัน แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะจบลงตรงที่ไม่มีฝ่ายไหนได้รับบาดเจ็บ แต่อย่างน้อยฝั่งจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นก็ไม่พอใจเป็นอย่าวมากที่ถูกวัยรุ่นต่างถิ่นมาข่มถึงที่ ต่อมาวันหนึ่งนักเรียนเตรียมทหารวีรเดชได้ชักชวนนางสาวเตือนใจ และเพื่อนๆ ทั้ง 4 เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นด้วยกันที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งนางสาวเตือนใจกับเพื่อนทั้ง 4 คน ก็ตัดสินใจไปร่วมงานครั้งนี้ด้วย แต่เมื่อวันงานมาถึง นักเรียนเตรียมทหารวีรเดชกลับไม่ได้ไปร่วมงานในวันนั้น เนื่องจากแม่ของเขาเกิดป่วยขึ้นมากระทันหันทำให้นางสาวเตือนใจต้องอยู่ในงานเพียงลำพัง ขณะที่เพื่อนสาวทั้ง 4 อยู่กันครบคู่กับแฟนหนุ่มนายร้อย การติดต่อสื่อสารที่ไม่รวดเร็วเช่นปัจจุบันทำให้นางสาวเตือนใจไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแฟนหนุ่มของเธอถึงไม่มาตามนัด เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมทำให้เธอเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา ประกอบกับเพื่อนสาวทั้ง 4 ของเธอมีคู่กันหมดเธอจึงไม่อยากรบกวนเพื่อน และขอตัวกลับบ้านก่อน โดยเธออ้างกับเพื่อนๆ ว่าเพราะไม่ได้บอกพ่อกับแม่ว่าจะมางานนี้ ซึ่งเพื่อนสาวทั้ง4 ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น ในขณะที่นางสาวเตือนใจกำลังกลับบ้านซึ่งในขณะนั้นเป็นเวลาค่ำมากแล้ว ในซอยสมัยนั้นตอนกลางคืนแทบจะไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมารถประจำทางก็ยังไม่มีวิ่งเข้าซอยบวกกับที่เป็นซอยเปลี่ยวและมืดสนิทแถมมีต้นหญ้าปลกคลุกทั้งสองข้างทาง การที่นางสาวเตือนใจเดินเข้าซอยเพียงลำพังมันถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แต่เพราะเป็นเส้นทางที่เธอใช้สัญจรเป็นประจำทำให้เธอไม่ได้ระวังถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในที่สุดเหตุการณ์ร้ายก็ได้เกิดขึ้นกับเธอจนได้ ขณะที่เตือนใจเดินเข้าซอยมาเพียงลำพังเธอถูกวกลุ่มวัยรุ่นหลายคนรุมข่มขืนด้วยความทารุณ แม้เธอจะพยายามต่อสู้ขัดขืนสุดชีวิตแต่ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเตือนใจคงไม่สามารถต่อตู้ขัดขืนกับพวกเดนมนุษย์ทั้ง 4 คน ได้ สุดท้ายแล้วเธอถูกข่มขืนและฆ่าทิ้ง พร้อมทั้งชิงทรัพย์เอาของมีค่าไปด้วย ศพของเธอถูกทิ้งไว้ข้างทางในซอยของคืนนั้น ขณะที่พวกเดนมนุษย์ต่างแยกย้ายหลบหนี ทางด้านพ่อแม่ของนางสาวเตือนใจเมื่อเห็นว่ามืดค่ำแล้วลูกสาวยังกลับไม่ถึงบ้านก็รู้สสึกเป็นห่วง จึงช่วยกันออกตามหาในคืนนั้นจนพบศพลูกสาวของตนอยู่ข้างทาง เป็นการสร้างบาดแผลครั้งใหญ่ให้กับผู้เป็นพ่อเป็นแม่เป็นอย่างมาก เพราะสภาพศพของเธอเวลานั้นมันช่างดูโหดเหี้ยมทารุณเป็นอย่างมาก ภายในเวลาไม่นานนักเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาตรวจสอบสภาพศพเธอ ทันทีที่เขาเห็นสภาพศพของผู้ตายตำรวจถึงกับเบือนหน้าหนี เพราะเธอถูกทำร้านร่างกายอย่างรุนแรง ที่บริเวณลำคอของเธอมีร่องรอยของการโดนกัดอย่างแรงจนเป็นรอยฟัน ซึ่งรอยฟันนั้นมีลักษณะฟันหน้าหักไปหนึ่งซี่ บวกกับบริเวณซอกเล็บของเตือนใจมีเศษเนื้อหนังของคนร้ายติดอยู่จำนวนมาก จากสภาพศพในที่เกิดเหตุตำรวจจึงตั้งเป้าไปที่คนร้ายจะต้องมีรอยเล็บข่วนตามร่างกายและมีฟันหน้าหักไปหนึ่งซีก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกระจายกำลังหาตัวคนร้ายตามลักษณะที่ว่านั้นทันที จนกระทั้งพบกับผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งชื่อว่า “นายเทพ เทียนชัย” มีอาชีพเป็นนักร้องห้องอาหาร เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจดูตามร่างกายขอผู้ต้องสงสัย พบว่ามีรอยข่วนและมีฟันหน้าหัก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวนักร้องคนดังกล่าวไปที่โรงพัก หลังจากตำรวจได้สอบปากคำผู้ต้องสงสัยจึงได้สั่งปล่อยตัวไป เพราะนักร้องคนดังกล่าวมีรอยฟันไม่ตรงตามร่องรอยบนตัวเหยื่อเพราะนักร้องคนนั้นมีลักษณะฝันหน้าหักทั้งแทบ เมื่อคดียังไม่คลืบหน้าประชาชนยังถามหาตัวคนร้ายตัวจริง เมื่อตำรวจเจ้าของคดีต้องลงพื้นที่ด้วยตัวเองกับรุ่นน้องอีกสองนาย และจับวัยรุ่นในซอยที่เกิดเหตุกลุ่มหนึ่งมาเค้นสอบปากคำ และทำการข่มขู่ว่าจะยัดเยียดข้อหาให้หากไม่ยอมบอกข้อมูล จนวัยรุ่นคนนั้นได้ปริปากบอกว่ามีจิ๊กโก๋กลางซอยคนหนึ่งซึ่งมีหักหน้าหักหนึ่งซีกรู้จักกับหมู่วัยรุ่นทั่วไปว่า “ไอ้หลอ” ปกติเป็นเกเร ชอบมีเรื่องชกต่อยกับวัยรุ่นต่างถิ่นไปเรื่อย และบอกสถานที่ที่ไอ้หลอชอบไป คำให้การของวัยรุ่นคนนั้นทำให้ตำรวจเจ้าของคดีรู้สึกสงสัยในตัวของไอ้หลอขึ้นมาทันที และรีบไปสถานที่ที่วัยรุ่นคนดังกล่าวได้ให้การไว้ แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบตัวไอ้หลอแต่อย่างใดแต่ตำรวจเข้าของคดีกับลูกน้องก็ยังไม่ยอมแพ้ อีกสามวันต่อมาตำรวจเจ้าของคดีได้ย้อนกลับไปอีกครั้ง และเจอตำไอ้หลอกับพักพวกในที่สุด ทันทีที่พวกมันเห็นตำรวจก็รีบวิ่งหนีกัน ในขณะที่พวกมันวิ่งหนี ได้ให้มีดจี้รถแท็กซี่คันหนึ่งไปด้วย เจ้าของคดีกับลูกน้องก็ขับรถไล่ตามอย่างกระชั้นชิด พร้อมแจ้งวิทยุให้ตำรวจสายตรวจทุกคันในพื้นที่ช่วยหยุดรถแท็กซี่คันดังกล่าวเอาไว้ ในที่สุดไอ้หลอกับพวกก็ไปไม่รอด มันถูกตำรวจสายตรวจล้อมจับเอาไว้ได้ ขณะอยู่บนแท็กซี่คันที่พวกมันจี้มา หลังจากนั้นไอ้หลอกับพวกถูกนำตัวมาที่โรงพัก ขณะทำการสอบสวนไอ้หลอมันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และพูดยียวนกวนประสาทตำรวจไม่เลิก จนตำรวจทนไม่ไหวต้องใช้ไม้ตาย โดยการจับไอ้หลอไปที่ห้องเก็บศพพร้อมเปิดศพให้มันดู ทันทีที่มันเห็นร่างของเหยื่อที่มันเป็นคนลงมือฆ่าทำเอามันพูดไม่ออก ในที่สุดมันก็ทนแรงกดดันไม่ไหว จนยอมรับสารภาพออกมาจนได้ แต่เมื่อกลับมาที่โรงพักไอ้หลอกลับยียวนกวนประสาทตามเคย และให้การปฏิเสธแบบหน้าด้านๆ ทั้งที่ฝ่ายตำรวจมีหลักฐานมัดตัวมันกับพวกแน่นหนา ทั้งตั๋วจำนำที่มีรอยนิ้วมือไอ้หลอติดอยู่ ซึ่งเป็นสมบัติติดตัวของเตือนใจ และรอยนิ้วมือบนข้าวของเครื่องใช้ของเหยื่อ การที่ไอ้หลอพูดจากลับไปกลับมาทำให้ตำรวจเจ้าของคดีหมดความอดทน เลยบอกกับไอ้หลอว่าพักพวกของมันยอมรับสารภาพหมดแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นไอ้หลอถึงกับหน้าซีดและยอมรับสารภาพในที่สุด เรื่องราวของนางเตือนใจ พวงนาถโด่งดังมากในช่วงเวลานั้น จนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ฟอร์มยักของประเทศไทย โดยมีชื่อเรื่องว่า “เตือนใจ คดีที่ไม่มีวันลืม” ออกฉากเมื่อวันที่ 13 ตุลา 2522